Change your language, please be patient.
ในปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องโภชนาการและสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของ เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ป้องกันโรค และฟื้นฟูร่างกายจากภายใน วิธีการตรวจสอบว่าร่างกายขาดสารอาหารหรือไม่ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพและการปรับโภชนาการเฉพาะบุคคลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะกล่าวถึงความสำคัญของการตรวจวัดสารอาหารในร่างกาย หลักการและวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้วินิจฉัยภาวะขาดสารอาหาร พร้อมแนวคิดการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อสร้างแผนสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ตรงจุดและยั่งยืน
ร่างกายต้องการสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างสมดุล หากขาดสารอาหารใดสารอาหารหนึ่งเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ ผิวพรรณไม่สดใส หรือแม้แต่อาการรุนแรง เช่น โรคโลหิตจางและโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
งานวิจัยใน The American Journal of Clinical Nutrition พบว่าการประเมินระดับสารอาหารในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และสนับสนุนการเผาผลาญ (Metabolism) ได้ดียิ่งขึ้น (Astrup et al., 2011) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในเวชศาสตร์ชะลอวัยที่ต้องการลดปัจจัยเสี่ยงและชะลอความเสื่อมของร่างกาย
ผลการตรวจและวิเคราะห์ดังกล่าว จะถูกนำมาใช้สร้างแผน โภชนาการเพื่อสุขภาพ (Nutrition for Health) ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยหรือผู้ดูแลสุขภาพแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นการปรับสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน หรือแร่ธาตุ อีกทั้งยังสามารถเลือกอาหารเสริม (Supplements) ที่ตรงกับความต้องการของร่างกายได้ การประยุกต์ใช้หลักการ เวชศาสตร์ชะลอวัย และเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าด้วยกันจึงทำให้ได้โปรแกรมที่เจาะจงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เข้าสู่โปรแกรม Personalized Health Program การติดตามผลและประเมินซ้ำเป็นระยะก็มีความสำคัญมาก เพื่อให้แพทย์สามารถปรับปรุงแผนโภชนาการ การให้วิตามินหรือฮอร์โมนเสริม ตลอดจนการออกกำลังกายและการปรับไลฟ์สไตล์ให้ทันสถานการณ์จริงของร่างกาย
ประโยชน์ของการตรวจสอบภาวะขาดสารอาหารในแนวทางเวชศาสตร์ชะลอวัย
ป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2
ส่งเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ป่วยยากหรือฟื้นตัวไวเมื่อเจ็บป่วย
เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายและทางสมอง ลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เพิ่มพลังงานในชีวิตประจำวัน
บำรุงผิวพรรณและส่งเสริมความอ่อนเยาว์ ลดสัญญาณของความเสื่อมอันเกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้น
ปรับสมดุล ฮอร์โมน ทำให้การทำงานของระบบร่างกายเป็นไปอย่างปกติและมีประสิทธิภาพ
Astrup, A., Dyerberg, J., Selleck, M., & Stender, S. (2011). The American Journal of Clinical Nutrition
Nicoglou, A., & Merlin, F. (2017). Studies in History and Philosophy of Biological and Biomedical Sciences
WHO (2018). Noncommunicable diseases (แสดงถึงความสำคัญของสารอาหารและการปรับไลฟ์สไตล์ในการป้องกัน NCDs)